📜 สรุป พ.ร.ก. 2 ฉบับใหม่ (มีผลบังคับใช้ 13 เม.ย. 2568)
- กองบังคับการกฎหมายและคดี ภ.3

- 17 เม.ย.
- ยาว 3 นาที
📜 สรุป พ.ร.ก. 2 ฉบับใหม่ (มีผลบังคับใช้ 13 เม.ย. 2568)
🛡️ 1. พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
✅ จุดเด่น
• 💸 ธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินคืนเงินผู้เสียหายได้โดยไม่ต้องฟ้องแพ่ง หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นเงินที่ถูกหลอกลวง
• 🏦📱 ธนาคาร-เครือข่ายมือถือมีส่วนรับผิดชอบร่วม ต้องให้ข้อมูล ช่วยสกัดและระงับการใช้บัญชี/เบอร์ต้องสงสัย
• 🚫 อายัดบัญชีและธุรกรรมได้เร็วขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายถอนเงินหนี
• 🔄 จัดตั้งระบบกลาง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานแบบทันที เช่น ศูนย์รับแจ้งเหตุ 1441 และระบบ TCAC
🎯 เหตุผล
เพื่อ คุ้มครองประชาชนสุจริตที่ถูกหลอกผ่านโทรศัพท์-ออนไลน์
- เพราะปัจจุบันมีผู้เสียหายจำนวนมาก และมูลค่าความเสียหายสูง
- จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยสาธารณะ
🪙 2. พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
✅ จุดเด่น
• ควบคุม ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างชาติ ที่ให้บริการกับคนไทย แม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศไทย
• ป้องกันการใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางฟอกเงินหรือหลอกลวง
• เพิ่มอำนาจรัฐในการ ตรวจสอบและสั่งการ แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง
🎯 เหตุผล
- เพื่อให้การกำกับดูแลครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ป้องกันภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ที่ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือ
- รองรับเทคโนโลยีใหม่แต่ต้องไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ
🗓️ มีผลบังคับใช้: 13 เมษายน 2568
(1 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา)
🔗 อ่านฉบับเต็มในราชกิจจานุเบกษา:
พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๘
.
พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๘
สรุปพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่ 2568)
✨ อัปเดตใหม่ล่าสุด ต้อนรับสงกรานต์! 🌊💻📱
📅 1. เริ่มใช้เมื่อไหร่?
• ประกาศ: 12 เม.ย. 2568
• เริ่มบังคับใช้: 13 เม.ย. 2568 เป็นต้นไป
🪙 2. เพิ่มนิยาม “สินทรัพย์ดิจิทัล”
• ครอบคลุม ระบบจัดเก็บ บัญชี กระเป๋าเงินดิจิทัล
• เชื่อมโยงกับ พ.ร.ก.ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เพิ่งแก้ไข
⚡ 3. คืนเงินเร็วขึ้น ไม่ต้องรอศาล
• เจ้าหน้าที่สามารถ คืนเงินให้ผู้เสียหายได้เลย
• ลดขั้นตอน ลดภาระของศาล = สะดวก รวดเร็ว
🌐 4. สกัดเว็บ/แพลตฟอร์มต่างชาติผิดกฎหมาย
• ป้องกัน ฟอกเงินผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ
• กระทรวง DE มีอำนาจ ปิดเว็บไซต์/จัดการบัญชีม้า
🔄 5. เปิดทาง “แลกเปลี่ยนข้อมูล” ระหว่างหน่วยงาน
• เช่น ธนาคาร - ค่ายมือถือ - หน่วยงานรัฐ
• เพื่อช่วยป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์
🔐 6. กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยภาคเอกชน
• เช่น บล็อก SMS หลอกลวง
• กำหนดมาตรการที่ต้องปฏิบัติตาม โดยหน่วยงานกำกับดูแล
🧭 7. ยกระดับ AOC1441 เป็น “ศปอท.” อย่างเป็นทางการ
• รับแจ้งเหตุ – ร้องทุกข์ – ระงับธุรกรรม – สอบสวน – ดำเนินคดี
• ทำงานได้ครบวงจรและรวดเร็ว
🤝 8. ผู้ให้บริการต้อง “ร่วมรับผิด” หากไม่ป้องกัน
• ธนาคาร / แพลตฟอร์ม / ค่ายมือถือ / โซเชียลมีเดีย
• ถ้า ละเลย ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ = ต้องรับผิดร่วม
🚨 9. เพิ่มโทษหนักขึ้นในหลายกรณี
9.1 💰 ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ = โทษทั้งจำทั้งปรับ
• เช่น ไม่ยอมระงับบัญชี / เปิดบัญชีม้า / ไม่ปิดบัญชีตามคำสั่ง
9.2 📞 ซื้อ-ขายเบอร์โทร อย่างไม่ถูกต้อง
• เช่น ขายซิมให้มิจฉาชีพ = โดนจำคุกหรือปรับ
9.3 📂 ซื้อขาย / เปิดเผย / ครอบครองข้อมูลบุคคล
• โดยมุ่งหวังก่ออาชญากรรม = โทษหนักสุดถึง จำคุก 5 ปี / ปรับ 5 แสนบาท
✅ สรุปง่าย ๆ คือ…
• ป้องกันไซเบอร์คุกคามได้ เร็วขึ้น
• รัฐมี เครื่องมือทางกฎหมายทันสมัย
• ทุกฝ่ายต้อง “ร่วมรับผิด” เพื่อหยุดวงจรบัญชีม้า-ฟอกเงิน-ปลอมตัว
📌 #พรกไซเบอร์2568
สรุปโทษจาก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 แบบ เข้าใจง่าย
ประกาศใช้ 13 เม.ย. 2568
📌 1. เปิดช่องให้ภาครัฐขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มดิจิทัล
- กรณี “มีเหตุอันควรสงสัย” ว่าอาจเกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
- รัฐสามารถ ขอข้อมูลกระเป๋าเงินดิจิทัล บัญชี และธุรกรรม
- เพื่อ “ป้องกัน” (ยังไม่เกิด) และ “ปราบปราม” (เกิดแล้ว) ได้
📩 2. ค่ายมือถือ ต้องคัดกรอง SMS หลอกลวง
📲 ตามมาตรฐาน กสทช.
เพิ่ม มาตรา 4/1 — เน้นยับยั้งภัยจากมิจฉาชีพผ่านข้อความ
🚫 3. สั่งตัดเบอร์มือถือที่ใช้ก่ออาชญากรรมได้ทันที
- ถ้ามีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าใช้ซิมก่ออาชญากรรม
- กสทช. มีอำนาจ “สั่งระงับการให้บริการ”
- โดยแจ้งผ่านตำรวจ, DSI, ปปง., หรือ ศปอท. แล้วแต่กรณี
🤝 4. กลุ่มที่ “อาจต้องร่วมรับผิดชอบ” หากเกิดความเสียหาย
รวมถึง:
• 🏦 สถาบันการเงิน
• 📡 ค่ายมือถือ/โทรคมนาคม
• 🌐 โซเชียลมีเดีย
• 📲 แพลตฟอร์มเกี่ยวข้อง
❗ เว้นแต่จะ พิสูจน์ได้ว่าทำตามมาตรฐานที่กำหนด แล้ว
💸 5. ไม่ระงับบัญชีตามคำสั่ง “ศปอท.” = โดนปรับ
ถ้า ธนาคาร / ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล
ไม่ระงับบัญชีตามคำสั่ง
• ปรับนิติบุคคล ไม่เกิน 500,000 บาท
• ผู้บริหาร (เช่น กรรมการ) ที่เกี่ยวข้องมีโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
🔗 [มาตรา 8/11]
📱 6. ขายซิมให้คนร้าย รู้หรือควรรู้ = มีโทษ
ถ้า
• ขายซิมแล้วลงทะเบียนไม่ถูกต้อง
• ผู้ขาย รู้หรือควรรู้ว่าใช้ก่ออาชญากรรม
⚖️ มีโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
🔗 [มาตรา 11/1]
🖥️ 7. ไม่ลบ / ไม่ระงับข้อมูลตามคำสั่งเจ้าพนักงาน = มีโทษ
กรณีเจ้าหน้าที่สั่งให้ระงับหรือเอาข้อมูลออก
⚖️ หากไม่กระทำมีโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
🔗 [มาตรา 8/12]
⚰️ 8. เอาข้อมูลคนตายไปใช้ = โดนหนัก!
ถ้า
• เอาข้อมูลของผู้เสียชีวิตไปใช้ / เผยแพร่ / ครอบครอง / แสวงหาผลประโยชน์
⚖️ มีโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
• ถ้ามีพฤติกรรมเสนอขาย/ซื้อ/แลกเปลี่ยน ฯลฯ
📌 มีโทษหนักขึ้น: จำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
🔗 [มาตรา 11/2]
🏁 สรุปสั้น ๆ
พระราชกำหนดนี้ออกมาเพื่อ
✅ ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนเกิด
✅ สกัดความเสียหายแบบทันควัน
✅ บังคับใช้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
✅ เพิ่มโทษผู้ละเลย-ผู้เกี่ยวข้อง-และผู้กระทำผิดโดยตรง
สรุปข่าว ก.ล.ต. พร้อมยกระดับปิดกั้นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลเถื่อน หลัง พ.ร.ก. ใหม่มีผลบังคับใช้ 13 เม.ย. 2568 :
สาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568 พระราชกำหนด 2 ฉบับ ได้แก่
• พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
• พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
ได้มีผลบังคับใช้ ซึ่งทำให้สำนักงาน ก.ล.ต. สามารถดำเนินการปิดกั้นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาตและมีพฤติกรรมชักชวนคนไทยได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เกณฑ์ที่ถือว่าเป็นการให้บริการแก่คนไทย (ตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ)
หากมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ แพลตฟอร์มต่างชาติต้องขออนุญาต ก.ล.ต.:
1. มีเนื้อหาแสดงผลเป็นภาษาไทย
2. ใช้ชื่อโดเมน .th หรือคำที่สื่อถึงประเทศไทย
3. ให้ชำระเงินเป็นเงินบาท หรือผ่านบัญชีธนาคาร/อิเล็กทรอนิกส์ในไทย
4. ใช้กฎหมายไทยเป็นกฎหมายบังคับหรือระบุให้ฟ้องคดีในศาลไทย
5. มีการซื้อโฆษณาเฉพาะเพื่อให้คนไทยเข้าถึง
6. มีสำนักงานหรือบุคลากรในไทย
7. มีลักษณะอื่นตามที่ ก.ล.ต. กำหนด
บทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE):
สามารถสั่งปิดกั้นเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการที่มีพฤติกรรมข้างต้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
ข้อกำหนดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี:
• ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล คัดกรอง และระงับธุรกรรมหรือบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบเดียวกับธนาคารพาณิชย์
• ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต้องคืนเงินผู้เสียหาย โดยผ่านกลไกการคืนเงิน โดยที่ผู้เสียหายไม่ต้องฟ้องศาลแพ่ง
• มีระบบขึ้นบัญชีดำ (blacklist) บุคคลหรือ wallet ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และห้ามทำธุรกรรมกับบัญชีเหล่านั้น
บทลงโทษสำหรับเจ้าของบัญชีม้า (บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปิดให้ผู้อื่นใช้กระทำความผิด):
จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คำแนะนำจาก ก.ล.ต.:
ประชาชนควรใช้บริการผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตในไทย เพราะจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนการใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศมีความเสี่ยงสูง เช่น การถูกหลอกลวง (scam) และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
































ความคิดเห็น